ทำไม…หัวใจไม่เป็นมะเร็ง ตอนที่ 1


Why the heart does not get cancer EP1
โดย : Dr.Stephen Hussey
แหล่งข้อมูล : https://www.resourceyourhealth.com/post/why-the-heart-does-not-get-cancer

 

ในบรรดาโรคร้ายแรงที่ทำอันตรายต่อชีวิตถึงตาย โรคมะเร็งติดอันดับต้นๆ เราสามารถพบมะเร็งที่อวัยวะต่างๆได้เกือบหมด ยกเว้นอวัยวะหนึ่งซึ่งพบว่าเป็นมะเร็งได้ยากมาก อวัยวะนั้นก็คือหัวใจ บทความนี้ จะให้คำอธิบายว่า ทำไม หัวใจไม่เป็นมะเร็ง น่าสนใจมากค่ะ

เนื่องจากบทความยาวมาก พี่จึงขอสรุปบทความเป็น 2 ตอน พร้อมอัดไฟล์เสียง
(อย่าลืมสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์ fatoutkey.com กันนะคะ จะได้ฟังไฟล์เสียงนอกเหนือจากการอ่านบทความฟรี)

ฟังไฟล์เสียงเฉพาะสมาชิกเท่านั้น

สมัครสมาชิกเพื่อรับฟังไฟล์เสียง

 

มะเร็งคืออะไร?

การที่เราจะเข้าใจว่า ทำไมพบมะเร็งที่หัวใจได้ยากมาก เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่ามะเร็งคืออะไร

มะเร็งคือโรคที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิสมค่ะ หมายความว่ามันเกิดขึ้นเมื่อระบบเมตาบอลิสมภายในเซลล์เสียสมดุล จนเซลล์เปลี่ยนแปลงกลายเป็นเซลล์มะเร็งเพื่อความอยู่รอด (ไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะ)

ย้อนไปในช่วงปีค.ศ. 1920’s Dr.Otto Warburg และคณะ ได้ค้นพบว่า เซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติเฉพาะ โดยจะหยุดพึ่งพาออกซิเจนในการสร้างพลังงาน (Oxidative Phosphorylation) เปลี่ยนไปสร้างพลังงานโดยปฏิกิริยา Glycolysis และ Lactate Fermentation แทน ซึ่งเป็นขบวนการสร้างพลังงานโดยไม่พึ่งพาออกซิเจน (Nonaerobic) มีการตั้งชื่อการค้นพบลักษณะเฉพาะของเซลล์มะเร็งนี้ว่า Warburg Effect

ต่อมาเมื่อเร็วๆนี้ Dr.Dominic D’Agostino นักวิจัยทางด้านเมตาบอลิสมชั้นนำ และ Dr.Thomas Seyfried นักวิจัยทางด้านมะเร็งวิทยาชั้นนำ (เขาเขียนหนังสือดีมากชื่อ Cancer as a Metabolic Disease : On the origin Management and Prevention of Cancer พี่ปุ๋มสั่งมาเก็บไว้ในห้องสมุดเรียบร้อย) ได้ร่วมกันตกผลึกสร้างทฤษฎีมะเร็งว่า “เป็นโรคของระบบเมตาบอลิสม” โดยอธิบายว่า

“ เซลล์มะเร็งมีคุณลักษณะเฉพาะคือ พวกมันไม่ใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน นอกจากนั้นเซลล์มะเร็งยังมีสภาพเป็นกรด แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งปรกติเมื่อแบ่งตัวแล้ว ควรจะได้เซลล์ที่มีลักษณะพิเศษตามเนื้อเยื่อ แต่กลับกลายเป็นเซลล์ธรรมดาทั่วๆไป”

 

สรุปคุณลักษณะเซลล์มะเร็ง

1. แสดงออกถึง Warburg Effect (สร้างพลังงานโดยไม่ใช้ออกซิเจน โดยผ่านปฏิกิริยา Glycolysis และ Lactate Fermentation แทน)
2. มีสภาพเป็นกรด
3. แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว

แบ่งตัวของเซลล์ ทำไม หัวใจไม่เป็นมะเร็ง

เซลล์ธรรมดาเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งได้อย่างไร?

เพราะอะไร เซลล์ธรรมดาจึงตัดสินใจเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นเซลล์มะเร็งที่มีคุณสมบัติ 3 ข้อดังกล่าว เรามาทำความเข้าใจประเด็นนี้กันค่ะ

ย้อนไปถึงการกำเนิดมนุษย์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยไข่และสเปิร์มผสมกัน เกิดเป็นเซลล์ที่เรียกว่า Zygote ซึ่งจะเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูก

จากนั้นจะแบ่งตัวจาก Zygote ไปเป็น Morula และแบ่งตัวต่อจนได้เซลล์ที่เรียกว่า
Blastocyst การแบ่งตัวช่วงนี้รวดเร็วมาก และมีลักษณะพิเศษคือ

1. เป็นกระบวนการแบ่งตัวที่ไม่ใช้ ออกซิเจน เพราะยังไม่มีการสร้างรกจากร่างกายแม่มาสู่ตัวอ่อน
2. เซลล์ที่แบ่งตัวจาก Zygote จนถึง Blastocyst ได้เซลล์ธรรมดาที่เหมือนกัน ไม่ได้แยกเป็นเซลล์พิเศษแตกต่างแต่อย่างใด

สังเกตมั้ยคะว่าตัวอ่อนมนุษย์ระยะแรก ก่อนเชื่อมต่อกับรกแม่ มีคุณสมบัติเหมือนเซลล์มะเร็ง บอกเป็นนัยว่าทุกเซลล์ในร่างกายมีศักยภาพนี้แฝงอยู่เพื่อความอยู่รอด

หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เริ่มมีรกจากร่างกายแม่เชื่อมต่อกับตัวอ่อน เพื่อนำอาหาร ออกซิเจนมาให้ คราวนี้แหละตัวอ่อนจะเริ่มใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงานเพื่อแบ่งตัว กลายเป็นเซลล์ที่มีความพิเศษแตกต่างแยกไปเป็นอวัยวะ 32 ประการของร่างกายมนุษย์

 

ไมโตคอนเดรียสาเหตุที่ทำให้เซลล์หยุดใช้พลังงาน

มีสาเหตุใดเกิดขึ้นภายในเซลล์ จึงทำให้เซลล์ธรรมดาหยุดใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน และกลายสภาพเป็นเซลล์มะเร็ง นักวิทยาศาสตร์พบว่า ไมโตคอนเดรียภายในเซลล์คืออวัยวะหลักในการทำหน้าที่ผลิตพลังงานผ่านการใช้ออกซิเจน (Oxidative Phosphorylation) ดังนั้นถ้าเซลล์จะหยุดใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน ก็ต้องมีสาเหตุมาจากไมโตคอนเดรียหยุดทำงานนี่เอง

ไมโตคอนเดรียหยุดทำงานสาเหตุที่เซลล์หยุดใช้ออกซิเจนเป็นพลังงาน

ไมโตคอนเดรียจะหยุดทำงานจากสาเหตุใด

ทุกครั้งที่ไมโตคอนเดรียสร้างพลังงาน มันก็จะสร้างของเสียที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ (free radical) ขึ้นมาด้วย ซึ่งในภาวะปรกติร่างกายจะสร้างสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอที่จะเข้าจัดการอนุมูลอิสระเหล่านี้ทันที

แต่วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการสร้างอนุมูลอิสระท่วมท้นไมโตคอนเดรียในแต่ละวัน จากปัจจัยต่อไปนี้

1. เผชิญกับสารพิษ Dr.Herbert Needleman นักวิจัยผู้ทุ่มเททั้งชีวิตศึกษาสารเคมี พบว่ามีสารเคมีอย่างน้อย 70,000 ชนิดที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ซึ่งสามารถเป็นพิษต่อร่างกายได้
2. พึ่งพาคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงาน
3. ปฏิกิริยาอักเสบ
4. ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

Dr.Stephen กล่าวในบทความว่า ในบรรดาปัจจัยทั้ง 4 ประการ ที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระท่วมท้น จนไมโตคอนเดรียหยุดทำงานได้นั้น

“การที่ไมโตคอนเดรียพึ่งพาคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งสร้างพลังงานให้เซลล์นั้น เป็นปัจจัยที่ร้ายแรงในการสร้างอนุมูลอิสระท่วมท้น กว่าการได้รับสารพิษเสียอีก เพราะไมโตคอนเดรียสร้างพลังงานจากกลูโคสตลอดเวลา ในขณะที่ร่างกายไม่ได้รับสารพิษตลอดเวลา”

 

!! เริ่มเห็นโทษของการบริโภคคาร์โบไฮเดรตสูงกันหรือยังคะ

เมื่อไมโตคอนเดรียได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่ท่วมท้น โดยเฉพาะจากการบริโภคคาร์โบไฮเดรตสูงเป็นประจำ มันก็จะหยุดการสร้างพลังงานโดยการใช้ออกซิเจน ถ้าไม่มีการปรับตัว เพื่อความอยู่รอด เซลล์ก็จะตาย สิ่งที่เซลล์ทำคือ

1. กระตุ้นการเปิดยีนมะเร็ง (Onco gene)ในดีเอ็นเอของเซลล์
2. ยีนมะเร็งจะสั่งเซลล์ให้เปลี่ยนการสร้างพลังงานไปเป็นแบบไม่ใช้ออกซิเจน
3. มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว กลายสภาพเป็นเซลล์มะเร็ง

มันเป็นวิธีเดียวที่เซลล์รู้เพื่อการอยู่รอด แม้ว่าจะไม่เป็นผลดีในระยะยาว จำได้มั้ยคะที่ตัวอ่อนของมนุษย์ก่อนเชื่อมต่อกับรกแม่ ก็แสดงคุณลักษณะเฉพาะของเซลล์มะเร็งเช่นกัน มันมีศักยภาพของการกลายเป็นมะเร็งแฝงอยู่ในทุกเซลล์

แต่เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหัวใจมีความพิเศษกว่าเนื้อเยื่ออื่นอย่างไร จึงรอดพ้น Warburg Effect ไปได้ พี่เกริ่นกลไกพิเศษภายในหัวใจให้ก่อน เพื่อรออ่านรายละเอียด ทำไม…หัวใจไม่เป็นมะเร็ง ต่อตอนที่สองนะคะ

1. กล้ามเนื้อหัวใจชอบใช้กรดไขมันมากกว่ากลูโคส ในการสร้างพลังงาน
2. ธรรมชาติออกแบบกลไกในการซัพพลายกรดไขมันให้หัวใจโดยเฉพาะ
3. ธรรมชาติออกแบบกลไกป้องกันไม่ให้ไมโตคอนเดรียของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ต้องถูกบังคับให้ใช้กลูโคสเป็นแหล่งพลังงาน
4. ความเครียดเป็นปัจจัยเดียวมีผลบังคับให้หัวใจต้องใช้กลูโคสแทนกรดไขมัน แต่ไม่สามารถทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจกลายเป็นมะเร็งได้ เพราะธรรมชาติออกแบบป้องกันด่านที่ 2 ไว้อีก….แม้จะไม่ดีเท่าไหร่ก็ตาม
5. เราจะประยุกต์ใช้ความรู้จากบทความนี้ ในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากมะเร็งได้อย่างไร

รออ่านรายละเอียด ทำไม…หัวใจไม่เป็นมะเร็ง ต่อตอนที่ 2 ค่ะ

ขอความมีสุขภาพกายใจที่ดี จงสถิตอยู่กับทุกคน 


Previous articleAutophagy แหล่งจ่ายกรดอะมิโนสำคัญเพื่อสร้างผิวสวยดูอ่อนเยาว์
Next articleทำไม…หัวใจไม่เป็นมะเร็ง ตอนจบ
ภญ.โสภิตา ศิริรัตน์
พี่ปุ๋มเคยมีน้ำหนักถึง 92.8 กิโลกรัม เข้าข่ายอ้วนระดับอันตรายเลยค่ะ ปัจจุบันพี่ปุ๋มน้ำหนักลดลง 15 กิโลกรัม เอวลดลง 5 นิ้ว ไขมันลดลงไป 4.8% ซึ่งถึงแม้จะยังมีไขมันส่วนเกินที่ต้องขจัดออกอีกก็ตาม พี่ปุ๋มก็อยากจะแชร์ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือสุขภาพดีๆเยอะมาก รวมทั้งตำราวิชาการอื่นๆ นำมาปฏิบัติกับตัวเอง จนเข้าใจการทำงานของร่างกายในการสะสมและขจัดไขมันออก จึงอยากแบ่งปัน และอยากจะให้ทุกคนได้เห็นพัฒนาการการขจัดไขมันของพี่ต่อไป พร้อมๆกับชวนเพื่อนๆให้มาขจัดไขมันส่วนเกินไปด้วยกัน

1 COMMENT

  1. เรื่องน่าสนใจมากครับ ขอบคุณคุณปุ๋มที่นำเสนอสาระดีๆ ติดตามอ่านเสมอ