Fat For Fuel : A Revolutionary Diet to Combat Cancer, Boost Brain Power, and Increase Your Energy (ตอนที่ 2)


เขียนโดย Dr. Joseph Mercola

เมื่อเราทราบจากตอนที่ 1 ว่า 90% ของ Reactive Oxygen Species (อนุมูลอิสระ) เกิดภายในไมโตคอนเดรีย ข้อมูลนี้สำคัญมาก เพราะ ภาวะสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากระบบเมตาบอลิสมที่ดี นอกเหนือจากการใช้สารต้านอนุมูลอิสระไปจัดการกับ อนุมูลอิสระที่เกินแล้วรั่วไหลออกมาจากไมโตคอนเดรียแล้ว Dr.Mercola ก็ถามว่า ทำไมไม่ลดปริมาณอนุมูลอิสระที่เกิดภายในไมโตคอนเดรียลงล่ะ ซึ่งวิธีลดอนุมูลอิสระในไมโตคอนเดรียที่ง่ายที่สุด ลดได้ถึง 30% คืออะไร มาติดตามต่อในตอนที่ 2 กันนะคะ

 


ในตอนที่หนึ่ง Dr.Joseph Mercola ได้อธิบายถึงความสำคัญของไมโตคอนเดรียต่อความมีสุขภาพดีของมนุษย์ เพราะร่างกายจะมีชีวิตอยู่ได้ก็อยู่ที่การสร้างพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปและออกซิเจนจากการหายใจ กระบวนการเมตาบอลิสมนี้เกิดขึ้นภายในไมโตคอนเดรีย

90% ของพลังงานที่สร้างให้กับร่างกายเกิดขึ้นภายในไมโตคอนเดรีย เชื้อเพลิงที่ใช้มีอยู่สองอย่างคือกลูโคสและไขมัน ในขณะที่ร่างกายใช้กลูโคสเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงาน จะผลิตอนุมูลอิสระสูงกว่าเมื่อใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงาน นั่นหมายถึงไมโตคอนเดรียเป็นที่ผลิตอนุมูลอิสระที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ร่างกายต้องการอนุมูลอิสระที่สมดุล เพราะมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้ามีมากเกินไป ก็ส่งผลต่อการทำลายผนังเซลล์ ดีเอ็นเอ จากปฏิกิริยา oxidation Dr.Mercola สรุปว่า ไมโตคอนเดรียที่สร้างอนุมูลอิสระมากผิดปรกติ เป็นต้นกำเนิดของโรคเรื้อรังต่างๆ

 


เรามาเริ่มตอนที่สองกันต่อค่ะ

บทที่ 2 : Why Mitochondria Metabolic Therapy (MMT)

 

โภชนาการคาร์บต่ำ ไขมันดีสูง

 

› เมื่อเราทราบว่า 90% ของอนุมูลอิสระเกิดขึ้นภายในไมโตคอนเดรีย นั่นหมายถึง ถ้าเราสามารถจัดการสมดุลให้ไมโตคอนเดรียสร้างอนุมูลอิสระแต่พอเหมาะได้ ก็จะเป็นหนทางไปสู่ความมีสุขภาพดี

› ไมโตคอนเดรียหน้าที่หลักคือการผลิตพลังงาน(ATP) และควบคุม Apoptosis (โปรแกรมภายในเซลล์ที่กำหนดให้เซลล์ตาย) กระบวนการ Autophagy, Mitophagy ซึ่งทำหน้าที่กำจัดชิ้นส่วนภายในเซลล์ที่เสียหายและนำชิ้นส่วนที่ยังดีอยู่กลับมาใช้งานใหม่ ก่อนที่มันจะส่งผลเสียหายต่อเซลล์และนำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ

› คำถามสำคัญจึงคือทำอย่างไรให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่สามารถป้องกันปัญหาการสร้างอนุมูลอิสระที่มากเกินไปจากขบวนการเมตาบอลิสมของอาหารที่เราต้องรับประทานตลอดชีวิต

 

The dietary key to limiting free radical without supplement

› แล้วเราจะสร้างสมดุลย์ของ Reactive Oxygen Species(ROS) ซึ่งก็คืออนุมูลอิสระได้อย่างไร คำตอบง่ายมากแทนที่จะไปสะเทิ้นปริมาณ ROS ด้วยการใช้สารต้านอนุมูลอิสระ ทางออกที่ดีกว่าคือทำให้ไมโตคอนเดรียสร้าง ROS ในปริมาณที่เหมาะสมตั้งแต่แรก

› นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเลือกโภชนาการจึงสำคัญต่อการผลิต ROS จากขบวนการเมตาบอลิสมอาหาร ที่เกิดขึ้นในไมโตคอนเดรีย Mitichondrial Metabolic Therapy(MMT) คือการทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันคุณภาพดี คาร์บสุทธิต่ำ และโปรตีนเพียงพอ

› เพราะเมื่อไมโตคอนเดรียเลือกใช้ไขมัน(คีโตน)เป็นเชื้อเพลิง ร่วมกับการมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ มันจะผลิต ROS น้อยลง พบว่าไมโตคอนเดรียจะเผชิญกับปฏิกิริยา Oxidation จากอนุมูลอิสระลดลง 30 ถึง 40% เมื่อเทียบกับการที่ไมโตคอนเดรียใช้กลูโคสเป็นเชื้อเพลิง (ข้อมูลนี้ว้าวมาก)

› โภชนาการคาร์บต่ำ ไขมันดีสูง โปรตีนเพียงพอ ที่ทำให้ไมโตคอนเดรียใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับการมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ หลักการของ Mitochondrial Metabolic Therapy(MMT) ซึ่งจะช่วยสงวนความแข็งแรงของไมโตคอนเดรีย DNA และผนังเซลล์เอาไว้ได้ ส่งผลให้สุขภาพแข็งแรง ยืดอายุขัยมนุษย์

 

MMT ยังให้ประโยชน์เชิงสรีระวิทยากับร่างกายอีกมากมายได้แก่

1. สมองแจ่มใส (Mental Clarity)

สมองไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าปราศจากไขมันคุณภาพ เนื่องจาก 60% ของสมองประกอบด้วยไขมัน โดยเฉพาะผนังเซลล์ประสาท ดังนั้นการรับประทานไขมันที่มีคุณภาพดีจึงส่งเสริมความแข็งแรงของผนังเซลล์ประสาท ในทางตรงกันข้ามการบริโภคน้ำตาล ธัญพืช แป้งผ่านกระบวนการ ส่งผลเสียหายต่อเซลล์ประสาทได้ เนื่องจากมันปิดกั้นความสามารถของฮอร์โมนอินซูลินในการที่จะควบคุมกิจกรรมทางสรีระวิทยาต่างๆ

นักวิทยาศาสตร์พบความเชื่อมโยงของน้ำตาลกับโรคอัลไซเมอร์ในปี 2005 โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกโรคนี้ว่า “เบาหวานประเภทที่สาม”(Type 3 Diabetes) งานวิจัยก่อนหน้านี้ให้ข้อมูลว่าคนที่เป็นเบาหวาน มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาโรคอัลไซเมอร์ได้เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า

2. อิสระจากความอยากอาหาร

อาหารผ่านกระบวนการทั้งหลายที่เติมสารปรุงแต่งอาหาร น้ำตาล น้ำมันพืชผ่านขบวนการ แป้งผ่านกระบวนการ ทำให้เกิดการเสพติดอาหารมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายมาหลาย 10 ปีแล้ว นี่คือเหตุผลที่อุตสาหกรรมอาหารใช้วัตถุดิบเหล่านี้เพื่อทำให้ผู้บริโภคกลับมาบริโภคอาหารสำเร็จรูปซ้ำตลอดเวลา

3. ใช้เป็นโภชนาการในการต่อสู้กับมะเร็ง

นักวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักชัดว่า มะเร็งไม่ได้เกิดจากการกลายพันธุกรรม เขาพบว่าความเสียหายของไมโตคอนเดรียเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรกในกระบวนการเกิดมะเร็ง นำไปสู่ความเสียหายของ DNA (มีรายละเอียดเรื่องนี้จน Prof.Thomas N Seyfried เขียนเป็นหนังสือได้หนึ่งเล่มเลยค่ะ พี่เกือบสอยมาแล้ว ตัดใจเพราะเล่มละเกือบ 4,000 บาท )

4. ปรับปรุงนิเวศของจุลินทรีย์

ร่างกายเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียราว 30 ล้านล้านล้านตัว และไวรัสราวๆ 1 ล้านล้านล้านล้านตัว ซึ่งทำให้เราไม่ต่างอะไรกับอาณานิคมของจุลินทรีย์ที่เดินได้ จุลินทรีย์เหล่านี้ทำหน้าที่หลากหลายได้แก่
– ช่วยย่อยอาหาร
– ควบคุมระบบประสาททางเดินอาหาร (Enteric Nervous System)
– ประสานงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
– ช่วยในปฏิกิริยาอักเสบหลายด้าน
– มีบทบาทสำคัญเพื่อสุขภาพที่ดีของสมองและอารมณ์เนื่องจากสมองกับทางเดินอาหารมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง (เรื่อง Gut-Brain Axis นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจมากๆเลยค่ะ พี่ปุ๋มเพิ่งอ่านงานวิจัยหนึ่งที่น่าสนใจมากว่า บางทีสมองที่แท้จริงของการควบคุมเมตาบอลิสมอาหารของร่างกาย ควบคุมน้ำหนักตัว อาจอยู่ที่ทางเดินอาหาร ไม่ใช่สมอง)

ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่แสดงให้เห็นว่า ระบบนิเวศจุลินทรีย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง ขึ้นอยู่กับโภชนาการ การใช้ชีวิต และการได้รับยาปฏิชีวนะ รวมถึงการได้สารเคมีผ่านทางเนื้อสัตว์ที่เราบริโภค ซึ่ง MMT ช่วยตัดปัจจัยก่อกวนนิเวศน์จุลินทรีย์ ได้แก่ ตัดน้ำตาลทุกชนิด อาหารสำเร็จรูป และสารให้ความหวานแทนน้ำตาลออกไป

5. ลดน้ำหนักโดยไม่ขาดสารอาหาร

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำหนักและความอยากอาหารที่สำคัญคือ เลปติน และอินซูลิน ถูกกำหนดด้วยอาหารที่เราบริโภคในแต่ละวัน ดังนั้น MMT ใช้อาหารเป็นตัวสร้างสมดุลย์ใหม่ของเลปตินและอินซูลิน โดยลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต เพิ่มปริมาณไขมันคุณภาพ ก็จะทำให้ร่างกายเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงจากกลูโคสมาเป็นไขมัน โดยดึงไขมันสะสมในร่างกายมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงาน ส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงโดยปราศจากอาการอยากอาหาร เพราะระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ ไม่มีการเหวี่ยงขึ้นลงรวดเร็วเหมือนการรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต

6. เพิ่มพลังงานให้ร่างกายเป็นอย่างมาก

นอกจาก MMT จะช่วยปรับปรุงใหม่โตคอนเดรียที่มีอยู่แล้ว ยังกระตุ้นการสร้างไมโตคอนเดรียใหม่อีกด้วย เท่ากับเป็นการช่วยเพิ่มแหล่งพลังงานให้กับร่างกาย สาเหตุที่ร่างกายสามารถสร้าง ไมโตคอนเดรียใหม่ได้ก็เพราะเมื่อร่างกายใช้คีโตนเป็นแหล่งพลังงานนั้น ไมโตคอนเดรียสร้างอนุมูลอิสระน้อยลงมากเมื่อเทียบกับใช้น้ำตาลเป็นเชื้อเพลิง ร่างกายจึงไม่ต้องเสียพลังงานไปในการกำจัดอนุมูลอิสระ ส่งผลทำให้พลังงานสุทธิที่ได้ดีกว่า

7. เพิ่มความไวของอินซูลิน

การที่ MMT ลดอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ต้องเปลี่ยนเป็นน้ำตาล เช่นอาหารที่มีคาร์บสุทธิสูง ธัญพืช น้ำตาล ส่งผลให้ทั้งระดับกลูโคสและระดับอินซูลินต่ำ เปิดโอกาสให้ตัวรับอินซูลินได้กลับมามีความไวต่ออินซูลินได้ดีอีกครั้ง

8. ลดปฏิกิริยาอักเสบ

การที่ร่างกายใช้น้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงาน จะสร้างอนุมูลอิสระมากกว่าใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิง 30 ถึง 40% น้ำตาลเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาอักเสบในร่างกาย นอกจากน้ำตาลแล้วโอเมก้า 6 โดยเฉพาะจากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันได้ง่าย ก็เป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาอักเสบได้ดีอีกด้วยเช่นกัน

ใน MMT Meal Plan เราจำกัดการบริโภคน้ำมันผ่านกระบวนการ และเลือกบริโภคอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันคุณภาพอย่างโอเมก้า 3 เพื่อปรับปรุงอัตราส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 นอกจากนั้นเราเลือกบริโภคไขมันอิ่มตัวซึ่งถูกออกซิไดซ์ได้ยากกว่าน้ำมันพืชผ่านกระบวนการ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เพื่อลดปฏิกิริยาการอักเสบ

 


Self Eating : Autophagy and Mitophagy

› พี่เขียนเรื่องนี้ไว้ในโพสเก่าๆพอควรแล้วเลยจะไม่ลงรายละเอียดนะคะ น้องๆไปหาอ่านกันได้ค่ะ

› บทสรุปสำคัญของ MMT กับ Autophagy และ Mitophagy คือ MMT ยับยั้ง mTOR signaling pathway จึงกระตุ้น Autophagy และ Mitophagy (เราจะพูดลงรายละเอียดของ mTOR ในตอนต่อไปเรื่องนี้น่าสนใจสุดๆค่ะ)

Mitochondrial Biogenesis (การสร้างไมโตคอนเดรียใหม่)

› ถ้าเราต้องการให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีอวัยวะต่างๆทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องมีปริมาณไมโตคอนเดรียที่มีสุขภาพดีมากเท่านั้น

› มีงานวิจัยในหนูทดลองแสดงว่า เมื่อหนูปรับมาใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิง จะเพิ่มการสร้างไมโตคอนเดรียใหม่ เพราะมันไม่ต้องเสียพลังงานไปกับการสะเทิ้นอนุมูลอิสระมากเท่ากับการที่ร่างกายใช้น้ำตาลเป็นเชื้อเพลิง

› ประโยชน์ก็คือไมโตคอนเดรียมีพลังงานส่วนนี้มามุ่งสร้างไมโตคอนเดรียใหม่ที่แข็งแรง นั่นหมายถึงร่างกายเรากลายเป็น Super Charged Body

 


จบสรุปบทที่ 2 นะคะ พี่ใช้เวลาอ่านทั้งวัน ย่อย เขียนใส่สมุดได้ทั้งหมด 12 หน้าพอดี 

พรุ่งนี้พี่ปุ๋มขอพักสมอง 1 วันนะคะ

ขอความมีสุขภาพกายใจที่ดี จงสถิตอยู่กับทุกคน


 


Previous articleFat For Fuel : A Revolutionary Diet to Combat Cancer, Boost Brain Power, and Increase Your Energy (ตอนที่ 1)
Next articleBUTTER
ภญ.โสภิตา ศิริรัตน์
พี่ปุ๋มเคยมีน้ำหนักถึง 92.8 กิโลกรัม เข้าข่ายอ้วนระดับอันตรายเลยค่ะ ปัจจุบันพี่ปุ๋มน้ำหนักลดลง 15 กิโลกรัม เอวลดลง 5 นิ้ว ไขมันลดลงไป 4.8% ซึ่งถึงแม้จะยังมีไขมันส่วนเกินที่ต้องขจัดออกอีกก็ตาม พี่ปุ๋มก็อยากจะแชร์ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือสุขภาพดีๆเยอะมาก รวมทั้งตำราวิชาการอื่นๆ นำมาปฏิบัติกับตัวเอง จนเข้าใจการทำงานของร่างกายในการสะสมและขจัดไขมันออก จึงอยากแบ่งปัน และอยากจะให้ทุกคนได้เห็นพัฒนาการการขจัดไขมันของพี่ต่อไป พร้อมๆกับชวนเพื่อนๆให้มาขจัดไขมันส่วนเกินไปด้วยกัน